จีนแก้ไขความยากจนอย่างไร? (ตอน๑)

จีนแก้ไขความยากจนอย่างไร? | การที่ประเทศหนึ่งสามารถดึงประชากรร้อยล้านคนให้หลุดพ้นจากความยากจนภายในเวลาเพียงไม่กี่สิบปี และสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์จากแผนงานที่วางอย่างแม่นยำ มีเป้าหมายชัดเจน และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

เศรษฐกิจ

ลุงหมวย

12/18/2025

aerial photography of concrete roads
aerial photography of concrete roads

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2013

เมื่อประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ประกาศเดินหน้าโครงการ “บรรเทาความยากจนแบบมุ่งเป้า” (Targeted Poverty Alleviation) ซึ่งเป็นหัวใจหลักของยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาความยากจนของจีน แทนที่จะใช้มาตรการทั่วไป รัฐบาลจีนเลือกที่จะ “แม่นยำ” — ลงลึกถึงระดับครัวเรือน วิเคราะห์สาเหตุความยากจนของแต่ละครอบครัว แล้วจัดมาตรการช่วยเหลือที่เหมาะสม เช่น ให้ทุนฝึกอาชีพ สนับสนุนการเกษตร หรือแม้กระทั่งจัดหาที่อยู่อาศัยใหม่

หนึ่งในกลไกสำคัญคือการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างจริงจัง พื้นที่ห่างไกลที่เคยถูกตัดขาดจากโลกภายนอก วันนี้มีถนนลาดยาง ไฟฟ้า น้ำสะอาด และสัญญาณอินเทอร์เน็ต ไม่เพียงแค่ยกระดับคุณภาพชีวิต แต่ยังเปิดโอกาสให้คนในชนบทเข้าถึงตลาด ได้ขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Taobao หรือ Pinduoduo ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรที่เคยขายได้ราคาต่ำ บัดนี้กลายเป็นสินค้าที่ทำรายได้ให้กับชุมชน

ในบางกรณี รัฐบาลจีนตัดสินใจ “ย้ายคนออกจากความยากจน” โดยการย้ายครัวเรือนจากพื้นที่ที่มีข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ — เช่น ภูเขาสูง แห้งแล้ง หรือเสี่ยงภัยธรรมชาติ — ไปยังชุมชนใหม่ที่มีโครงสร้างพื้นฐานครบครัน พร้อมโอกาสในการทำงานและบริการสาธารณะที่ดีกว่า โครงการเหล่านี้ไม่ใช่แค่สร้างบ้านใหม่ แต่รวมถึงการสร้างอาชีพและเครือข่ายสังคมใหม่ด้วย

สิ่งที่ทำให้กลยุทธ์ของจีนได้ผล คือ “ระบบทั้งระบบ” ที่เคลื่อนไหวพร้อมกัน ตั้งแต่รัฐบาลกลาง หน่วยงานท้องถิ่น ไปจนถึงภาคเอกชน บริษัทของรัฐและเอกชนถูกกำหนดให้ “จับคู่” กับพื้นที่ยากจนเพื่อให้การสนับสนุน ในขณะที่ข้าราชการหลายแสนคนถูกส่งลงไปประจำในหมู่บ้าน เพื่อทำงานอย่างใกล้ชิดกับประชาชน ความรับผิดชอบชัดเจน ถ้าผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามเป้า ข้าราชการผู้นั้นอาจไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง

และที่สำคัญคือ การวัดผลอย่างเข้มงวด จีนกำหนดเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำที่ชัดเจน (เช่น รายได้ขั้นต่ำประมาณ 4,000 หยวนต่อปี ตามอัตราในปี 2020) พร้อมระบบตรวจสอบที่โปร่งใส ทำให้สามารถติดตามความคืบหน้าได้แบบเรียลไทม์

ผลลัพธ์คือ ในปี 2020 จีนประกาศว่าได้ “ขจัดความยากจนตามมาตรฐานของประเทศ” อย่างเป็นทางการ โดยช่วยให้ประชากรมากกว่า 100 ล้านคนหลุดพ้นจากความยากจนภายในเวลาเพียง 8 ปี — นับเป็นความสำเร็จด้านการพัฒนามนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่

แน่นอนว่า ความท้าทายยังไม่หมดไป ความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองกับชนบท และความเสี่ยงที่คนจะกลับสู่ความยากจนยังคงมีอยู่ แต่จีนก็ไม่หยุดเพียงเท่านี้ ภายใต้แนวคิด “ร่ำรวยร่วมกัน” (Common Prosperity) รัฐบาลยังคงเดินหน้าลดช่องว่างทางเศรษฐกิจ และสร้างความมั่นคงในชีวิตของประชาชนอย่างต่อเนื่อง

แนวคิด “ร่ำรวยร่วมกัน” (Common Prosperity) เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่รัฐบาลจีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ส่งเสริมอย่างจริงจังตั้งแต่ช่วงปี 2021 เป็นต้นมา แม้คำนี้จะถูกใช้ในบริบทของจีนมานานหลายทศวรรษ แต่ในยุคปัจจุบัน แนวคิดนี้ถูกหยิบกลับมาเน้นใหม่ในฐานะทางออกสำหรับปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ทวีความรุนแรงขึ้น ท่ามกลางการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็ว

แนวคิด “ร่ำรวยร่วมกัน” (Common Prosperity) คืออะไร?

“ร่ำรวยร่วมกัน” ไม่ได้หมายถึงการแบ่งรายได้เท่าๆ กันแบบสังคมนิยมสุดขั้ว แต่เป็นเป้าหมายในการสร้าง สังคมที่ความมั่งคั่งกระจายอย่างเป็นธรรมมากขึ้น — ทุกคนควรได้รับส่วนแบ่งจากผลลัพธ์ของการพัฒนาเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพียงชนชั้นนำหรือกลุ่มทุนใหญ่เท่านั้น

รัฐบาลจีนย้ำเสมอว่า แนวคิดนี้ไม่ได้ “ต่อต้านความมั่งคั่ง” แต่ “ต่อต้านความเหลื่อมล้ำที่มากเกินไป” และต้องการให้คนกลุ่มกลาง (middle class) ขยายตัว ขณะที่ผู้ยากจนได้รับโอกาสในการยกระดับชีวิต

แนวทางในการขับเคลื่อน

  1. ควบคุมการขยายตัวของความมั่งคั่งแบบไม่สมดุล
    รัฐบาลเริ่มเข้ามาตรวจสอบกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ เช่น Alibaba, Tencent หรือ Didi ด้งการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาด ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล และตรวจสอบการระดมทุนผ่านตลาดทุน เพื่อป้องกัน “เศรษฐีพันล้าน” ที่ได้กำไรมหาศาลในเวลาอันสั้นโดยไม่สร้างคุณค่าที่ยั่งยืน

  2. ส่งเสริมการบริจาคและการรับผิดชอบต่อสังคมของภาคเอกชน
    บริษัทและมหาเศรษฐีถูกกระตุ้นให้ “คืนกำไรให้สังคม” ผ่านกองทุนการกุศล โครงการพัฒนาชุมชน หรือการลงทุนในพื้นที่ยากจน โดยบางครั้งก็มีแรงกดดันทางอ้อมผ่านนโยบายหรือการตรวจสอบ

  3. ยกระดับรายได้ของแรงงานและเกษตรกร
    รัฐบาลเน้นการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำในบางพื้นที่ สนับสนุนอาชีพเสริมในชนบท และส่งเสริมระบบประกันสังคมให้ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อให้แรงงานได้รับส่วนแบ่งที่เป็นธรรมจากการเติบโตของเศรษฐกิจ

  4. ลดภาระค่าครองชีพในด้านสำคัญ
    จีนเริ่มควบคุมราคาอสังหาริมทรัพย์ ปฏิรูประบบการศึกษาเอกชน (โดยเฉพาะการห้ามบริษัทติวเตอร์แสวงหากำไร) และปรับปรุงระบบสาธารณสุข เพื่อลดแรงกดดันด้าน “การศึกษา – ที่อยู่อาศัย – การรักษาพยาบาล” ซึ่งเป็น 3 ภาระหลักของครัวเรือนจีน

  5. พัฒนาชนบทอย่างต่อเนื่องหลังขจัดความยากจน
    แม้ความยากจนสุดขั้วจะถูกประกาศ “กำจัด” แล้ว แต่รัฐบาลยังคงลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ดิจิทัล และอุตสาหกรรมท้องถิ่น เพื่อไม่ให้คนกลับสู่ความยากจน และให้ช่องว่างระหว่างเมืองกับชนบทแคบลง

ไม่ใช่ “ทำให้ทุกคนเท่ากัน” แต่คือ “ทำให้ทุกคนมีโอกาส”

สี จิ้นผิง กล่าวชัดเจนว่า “ร่ำรวยร่วมกันไม่ใช่การแบ่งเค้กอย่างเท่าเทียม แต่คือการทำให้เค้กใหญ่ขึ้น และแบ่งอย่างยุติธรรมมากขึ้น” นั่นหมายความว่า จีนยังคงสนับสนุนการสร้างนวัตกรรม การแข่งขัน และความมั่งคั่ง — แต่ภายใต้กรอบที่รัฐสามารถควบคุมทิศทางเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

ความท้าทายข้างหน้า

แนวคิดนี้ยังเผชิญกับคำถามหลายด้าน ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ นักวิเคราะห์บางส่วนกังวลว่าการควบคุมภาคเอกชนมากเกินไปอาจลดแรงจูงใจในการสร้างนวัตกรรม ขณะที่บางฝ่ายมองว่าเป็นการกลับไปสู่รัฐประหารตลาดในรูปแบบใหม่

แต่สำหรับรัฐบาลจีน นี่คือการปรับสมดุลที่จำเป็น — หลังจากที่ประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว ถึงเวลาแล้วที่ต้องหันกลับมามอง “คุณภาพ” ของการเติบโต ไม่ใช่เพียง “ตัวเลข”

“ร่ำรวยร่วมกัน” คือวิสัยทัศน์ของจีนในการสร้างสังคมที่มั่นคง มีความยุติธรรม และยั่งยืน ไม่ใช่แค่ “รวยไว” แต่ “รวยด้วยกัน” — ท่ามกลางความท้าทายของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว.

city buildings during night time
city buildings during night time