ทำไมสิงคโปร์ถึงรวย? (ตอน๒)
ทำไมสิงคโปร์ถึงรวย? | การนำโมเดลของสิงคโปร์มาปรับใช้กับไทยเป็นโจทย์ที่ท้าทาย เพราะบริบทเราต่างกัน (ไทยเราใหญ่กว่า มีภาคเกษตรกรรม และวัฒนธรรมที่สบายๆ กว่า) แต่ก็มี 4 เรื่องหลัก ที่เราถอดบทเรียนมาปรับใช้ได้ทันที
เศรษฐกิจ
ลุงหมวย
12/16/2025
1. เปลี่ยนทัศนคติเรื่อง "อาชีวะ" (Vocational Training)
ในสิงคโปร์ เด็กที่เรียนช่างได้รับการยอมรับว่าเท่และเงินดี แต่ในไทยค่านิยมยังมองว่าต้องจบปริญญาตรีเท่านั้นถึงจะประสบความสำเร็จ
สิ่งที่เราทำได้: รัฐและเอกชนต้องจับมือกันยกระดับอาชีวะ ให้เป็นระบบ "ทวิภาคี" (เรียนทฤษฎีครึ่งหนึ่ง ฝึกงานจริงในโรงงานครึ่งหนึ่ง) จบมาแล้วการันตีงานและรายได้ที่สูงพอๆ กับปริญญาตรี เพื่อให้คนกล้ามาเรียนสายวิชาชีพมากขึ้น ซึ่งจะแก้ปัญหาแรงงานขาดแคลนได้ตรงจุด
2. ภาษาอังกฤษแบบ "ใช้งานจริง" (English for Business)
คนไทยมีจุดเด่นคือ Service Mind ที่ดีเยี่ยม แต่เรามักติดกับดัก "กลัวพูดผิดไวยากรณ์"
สิ่งที่เราทำได้: ปรับการสอนจากการท่องจำแกรมมาร์ มาเป็นการ "กล้าสื่อสาร" สิงคโปร์ไม่ได้พูดชัดเป๊ะ (Singlish) แต่เขาสื่อสารรู้เรื่องและมั่นใจ ถ้าคนไทยปลดล็อกเรื่องนี้ได้ บวกกับทักษะการบริการที่มีอยู่แล้ว เราจะดึงดูดการลงทุนได้อีกมหาศาลครับ
3. ระบบราชการที่ "Digital 100%" ลดการใช้ดุลยพินิจ
จุดแข็งของสิงคโปร์คือความโปร่งใส ซึ่งเกิดจากการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทำงานแทนคน
สิ่งที่เราทำได้: นำ AI และระบบดิจิทัลมาใช้ในการขอใบอนุญาตต่างๆ ให้มากขึ้น (ตอนนี้ไทยเริ่มทำแล้วผ่านแอปฯ ทางรัฐ แต่ต้องขยายผล)
ข้อดี: เมื่อทุกอย่างผ่านระบบ คอมพิวเตอร์เรียกรับใต้โต๊ะไม่ได้ การคอร์รัปชันจะลดลง และต่างชาติจะกล้ามาลงทุนเพราะกติกามันชัดเจน
4. การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)
โลกเปลี่ยนเร็ว ความรู้ในมหาวิทยาลัยอยู่ได้ไม่เกิน 5 ปี
สิ่งที่เราทำได้: ส่งเสริมให้คนทำงาน "Re-skill" (เรียนทักษะใหม่) ได้ง่ายขึ้น เช่น รัฐอาจจะช่วยออกค่าคอร์สเรียนออนไลน์ หรือบริษัทสามารถนำค่าใช้จ่ายในการอบรมพนักงานไปลดหย่อนภาษีได้มากกว่าเดิม เพื่อกระตุ้นให้คนไทยเก่งขึ้นตลอดเวลา
ไทยไม่จำเป็นต้อง copy สิงคโปร์มาทั้งหมด (เพราะเราคงไม่อยากเครียดขนาดนั้น) แต่ถ้าเราดึงเรื่อง "วินัย, ภาษา, และระบบที่โปร่งใส" มาผสมกับ "ความคิดสร้างสรรค์และความยืดหยุ่น" ที่เป็นจุดเด่นของคนไทย เราจะไปได้ไกลมาก
ความสำเร็จของสิงคโปร์แลกมาด้วย "ความกดดัน" และ "ต้นทุนชีวิต" ที่สูงจนน่าตกใจ
นี่คือราคาที่คนสิงคโปร์ต้องจ่าย เพื่อแลกกับความเป็นที่หนึ่ง :
1. วัฒนธรรม "กลัวแพ้" (Kiasu)
คำว่า Kiasu (เกียซู) เป็นศัพท์สิงคโปร์ แปลว่า "กลัวเสียเปรียบ" หรือ "กลัวแพ้คนอื่น"
สิ่งที่ต้องเจอ: ตั้งแต่เด็ก ทุกคนถูกปลูกฝังว่า "ต้องที่ 1 เท่านั้นถึงจะรอด" การแข่งขันรุนแรงมาก เด็กเรียนพิเศษกันหนักจนแทบไม่มีเวลาวิ่งเล่น พ่อแม่ต้องแย่งกันจองที่เรียนดีๆ ใครช้าคืออด
ผลกระทบ: คนสิงคโปร์มีความเครียดสะสมสูงมาก กลัวความล้มเหลว และไม่ค่อยกล้าคิดนอกกรอบ (เพราะกลัวผิดพลาดแล้วจะแพ้คนอื่น)
2. ค่าครองชีพสูง
แม้เงินเดือนจะสูง แต่ค่าใช้จ่ายก็สูงตามเป็นเงาตามตัว จนติดอันดับเมืองที่แพงที่สุดในโลกบ่อยๆ
เรื่องรถยนต์: นี่คือฝันร้ายของคนสิงคโปร์ การจะซื้อรถสักคันต้องประมูลใบอนุญาต (COE) ซึ่งราคาใบอนุญาตอย่างเดียวก็แพงกว่าราคารถแล้ว ทำให้รถญี่ปุ่นธรรมดาๆ คันหนึ่ง ราคาพุ่งไปถึง 3-4 ล้านบาท (ในไทยอาจจะไม่ถึงล้าน)
ที่อยู่อาศัย: ที่ดินมีน้อย คนส่วนใหญ่ (80%) ต้องอยู่แฟลตของรัฐ (HDB) ซึ่งแม้จะคุณภาพดี แต่ก็มีกฎระเบียบเยอะ และราคาไม่ใช่ถูกๆ
3. เมืองแห่งกฎระเบียบ (The Fine City)
คำว่า Fine มีสองความหมาย คือ "ดี" และ "ค่าปรับ" สิงคโปร์มีกฎหยุมหยิมเต็มไปหมดเพื่อรักษาความเป็นระเบียบ
สิ่งที่ต้องเจอ: ห้ามเคี้ยวหมากฝรั่ง (เพื่อรักษาความสะอาด), ห้ามกินน้ำ/ขนมในรถไฟฟ้า, ลืมกดชักโครกก็ผิดกฎหมาย ทุกอย่างมีค่าปรับที่แพงมาก ทำให้ชีวิตต้องระวังตัวตลอดเวลา ขาดความผ่อนคลายแบบ "สบายๆ" เหมือนบ้านเรา
4. ความอึดอัดของ "กรงทอง"
สิงคโปร์เป็นเกาะเล็กๆ (ขนาดประมาณเกาะภูเก็ต) ขับรถชั่วโมงเดียวก็รอบเกาะแล้ว
สิ่งที่ต้องเจอ: ไม่มีภูเขาใหญ่ๆ ไม่มีป่าธรรมชาติกว้างๆ ให้หลีกหนีความวุ่นวาย อยู่แต่ในตึกคอนกรีต ถ้าอยากเที่ยวธรรมชาติจริงๆ ต้องบินออกนอกประเทศเท่านั้น ทำให้หลายคนรู้สึกเหมือนติดอยู่ในกรงที่หรูหราแต่ไปไหนไม่ได้
5. สังคมผู้สูงอายุที่ "ห้ามหยุดทำงาน"
ด้วยค่าครองชีพที่สูง และระบบสวัสดิการที่เน้น "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" (CPF)
สิ่งที่ต้องเจอ: เราจะเห็นคุณลุงคุณป้าอายุ 70-80 ปี ยังต้องออกมาทำงานเก็บจานในศูนย์อาหาร หรือขับแท็กซี่ เพราะถ้าหยุดทำ เงินเก็บอาจจะไม่พอใช้จนถึงวาระสุดท้าย
สรุปเปรียบเทียบ
สิงคโปร์: เหมือนห้องแล็บทดลองที่สะอาด เป็นระเบียบ ประสิทธิภาพสูง แต่เคร่งเครียดและไร้ชีวิตชีวาในบางมุม
ไทย: เหมือนตลาดนัดที่อาจจะดูวุ่นวาย ไม่เป็นระเบียบเท่า แต่มีสีสัน มีความยืดหยุ่น และมีความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้ง่ายกว่า
