ทำไมสิงคโปร์ถึงรวย? (ตอน๑)

ทำไมสิงคโปร์ถึงรวย? | สิงคโปร์เป็นเกาะเล็กๆ ที่ "ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ" (ไม่มีน้ำมัน ไม่มีพื้นที่เพาะปลูก แม้แต่น้ำจืดก็ยังต้องซื้อ) แต่สิ่งที่ทำให้เขารวยมหาศาล คือการวางตัวเป็น "พ่อค้าคนกลาง" และ "ศูนย์กลางความเชื่อมั่น" ของโลก

เศรษฐกิจ

ลุงหมวย

12/16/2025

Garden's by the bay, Singapore
Garden's by the bay, Singapore

4 ปัจจัยหลักที่ทำให้สิงคโปร์รวย :

1. ทำเลทอง (The Port)

สิงคโปร์ตั้งอยู่ตรง "ช่องแคบมะละกา" ซึ่งเป็นทางผ่านของเรือสินค้าที่สำคัญที่สุดระหว่างโลกตะวันตก (ยุโรป/อเมริกา) และโลกตะวันออก (จีน/ญี่ปุ่น)

  • สิ่งที่เขาทำ: เขาพัฒนาท่าเรือให้ทันสมัยและรวดเร็วที่สุด ใครจะขนของผ่านทางนี้ต้องมาแวะพัก เติมน้ำมัน หรือเปลี่ยนถ่ายสินค้าที่นี่ ทำให้เงินสะพัดมหาศาล

2. สร้างคน (Human Resources)

เมื่อไม่มีแร่ธาตุให้ขุด รัฐบาล (นำโดย ลีกวนยู) จึงมองว่า "คน" คือทรัพยากรเดียวที่มี

  • สิ่งที่เขาทำ: ทุ่มงบมหาศาลไปกับการศึกษา ให้คนเก่งภาษาอังกฤษ (ภาษาธุรกิจโลก) และมีความสามารถด้านเทคโนโลยี เพื่อดึงบริษัทต่างชาติให้มาจ้างงานคนสิงคโปร์ในราคาแพง

3. เป็นเซฟโซนของนักลงทุน (Stability & Trust)

นักธุรกิจกลัวความเสี่ยง กลัวการเมืองไม่นิ่ง และกลัวการโกง

  • สิ่งที่เขาทำ: สร้างกฎหมายที่เข้มงวดมาก ปราบคอร์รัปชันจนเกือบเป็นศูนย์ และการเมืองนิ่งมาก นักลงทุนทั่วโลกจึงกล้าขนเงินมหาศาลมาตั้งสำนักงานใหญ่ที่สิงคโปร์ เพราะมั่นใจว่าเงินจะไม่หายไปไหน

4. กฎระเบียบเอื้อต่อธุรกิจ (Ease of Doing Business)

  • สิ่งที่เขาทำ: ภาษีต่ำ เปิดบริษัทง่าย (ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็เสร็จ) ทำให้บริษัทระดับโลกอย่าง Google, Facebook หรือสถาบันการเงินใหญ่ๆ เลือกสิงคโปร์เป็นฐานทัพในเอเชีย

สิงคโปร์รวยเพราะทำให้ตัวเองเป็น "ตลาดที่ปลอดภัยและทันสมัยที่สุด" ใครจะค้าขาย หรือลงทุนในภูมิภาคนี้ ก็ต้องผ่านสิงคโปร์

วิธีคิดของลีกวนยู (ผู้ก่อตั้งสิงคโปร์) คือ "เมื่อเราไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ เราต้องสร้างทรัพยากรมนุษย์ให้มีค่าที่สุด"

เขาใช้วิธีการ "ปั้นคน" แบบเข้มข้น ดังนี้ :

1. บังคับใช้ "ภาษาอังกฤษ" เป็นภาษากลาง (English First)

ในยุคนั้น คนสิงคโปร์พูดหลายภาษา (จีน, มาเลย์, ทมิฬ) ทำให้คุยกันไม่รู้เรื่อง และค้าขายกับโลกยาก

  • สิ่งที่ทำ: รัฐบาลสั่งให้ทุกโรงเรียนสอนเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้คนสิงคโปร์รุ่นใหม่ "คุยกับตลาดโลกได้" ดึงดูดบริษัทฝรั่งให้มาตั้งฐานทัพ เพราะไม่ต้องจ้างล่าม

  • ผลลัพธ์: คนสิงคโปร์กลายเป็นแรงงานเอเชียที่สื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีที่สุดในภูมิภาค

2. ระบบ "คนเก่งต้องได้ดี" (Meritocracy)

สิงคโปร์ไม่สนว่าพ่อแม่คุณเป็นใคร รวยแค่ไหน หรือเส้นใหญ่ไหม เขาดูที่ "ความสามารถ" ล้วนๆ

  • สิ่งที่ทำ: คัดเลือกคนเข้าทำงานและเลื่อนตำแหน่งตามผลงานจริงๆ ใครเก่งรัฐบาลจะสนับสนุนเต็มที่ ให้ทุนไปเรียนมหาวิทยาลัยระดับโลก (เช่น Harvard, Cambridge) แล้วกลับมาทำงานใช้หนี้รัฐบาล

  • ผลลัพธ์: ประเทศถูกบริหารโดย "คนหัวกะทิ" ที่เก่งที่สุดจริงๆ ไม่ใช่ลูกหลานนักการเมือง

3. จ้างข้าราชการด้วย "เงินเดือนที่สูงลิ่ว"

นี่เป็นเรื่องที่หลายประเทศตกใจ แต่เป็นกลยุทธ์ที่ฉลาดมาก

  • สิ่งที่ทำ: รัฐบาลจ่ายเงินเดือนนายกรัฐมนตรีและข้าราชการระดับสูง "แพงกว่าเอกชน" (ผู้นำสิงคโปร์เงินเดือนสูงที่สุดในโลก)

  • เหตุผล:

    1. ดึงคนเก่งๆ จากภาคเอกชนให้ยอมมาทำงานราชการ (แทนที่จะไปเป็น CEO บริษัท)

    2. ตัดข้ออ้างเรื่องการโกงกิน (เพราะเงินเดือนพอใช้และรวยอยู่แล้ว)

4. ปฏิรูปการศึกษา: ไม่เก่งวิชาการ ก็ต้องเก่งอาชีพ

สิงคโปร์รู้ว่าไม่ใช่ทุกคนจะเรียนหมอหรือวิศวะได้

  • สิ่งที่ทำ: เขายกระดับโรงเรียนช่าง/อาชีวะ (ที่นั่นเรียกว่า ITE) ให้ดูดี ทันสมัย และมีเกียรติเทียบเท่ามหาวิทยาลัย โดยร่วมมือกับแบรนด์ดังๆ (เช่น โรงเรียนช่างสอนโดย Rolls-Royce หรือโรงเรียนสอนทำอาหารโดยเชฟมิชลิน)

  • ผลลัพธ์: จบออกมามีงานทำทันที เงินเดือนดี และสังคมยอมรับ

5. นโยบาย "เรียนรู้ตลอดชีวิต" (SkillsFuture)

เมื่อโลกเปลี่ยนไว ความรู้เดิมอาจล้าหลัง

  • สิ่งที่ทำ: รัฐบาลแจกเงินเครดิตให้ประชาชนทุกคน (เติมเงินให้เรื่อยๆ) เอาไปลงคอร์สเรียนเพิ่มทักษะใหม่ๆ อะไรก็ได้ จะเรียนเขียนโค้ด เรียนภาษา หรือทำอาหาร ก็ได้หมด ขอแค่พัฒนาตัวเอง

สิงคโปร์สร้างคนด้วย "ภาษาอังกฤษ + ความขยัน + ให้รางวัลคนเก่ง + ไม่โกง" พอคนในชาติมีคุณภาพสูง บริษัททั่วโลกก็ยอมจ่ายแพงเพื่อมาจ้างงานที่นี่ครับ

London cityscape at daytime
London cityscape at daytime